วิญญาณพยาบาท

 

ณ หมู่บ้านตำบลหนึ่ง อันตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ ใน

ท้องที่ อ . สทิงพระ จ . สงขลา เมื่อประมาณ ๔๕ ปี ล่วงมาแล้ว ได้มีเหตุการณ์ซึ่งไม่น่าคาดฝันบังเกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง ณ หมู่บ้านแห่งนี้

เรื่องมีอยู่ว่า นายขวัญแก้ว สุบินรัตน์ ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว วันหนึ่งได้ล้มป่วยลงและได้ป่วยมาหลายวันมีอาการค่อนข้างน่าวิตก มีแต่ลูกๆเท่านั้นคอยพยาบาลอยู่ เพราะเมียของนายขวัญเเก้ว คือ นางสั้นเนี่ยว ไปอยู่ ณ ที่อื่น ดังนั้นลูกจึงให้จดหมายไปถึงแม่ เพื่อมาช่วยพยาบาลพ่อ แต่นางสั้นเนี่ยวก็หามาไม่ คงมีเรื่องไม่พอใจกับสามีอยู่จึงไม่ยอมมา จนในที่สุดเมื่อนายขวัญแก้วป่วยหนักถึงแก่กรรมลง แม้กระนั้นนางสั้นเนี่ยวก็ไม่ยอมมาในงานศพ แม้แต่วันเผาก็ไม่มา แต่เมื่อถึงวันทำบุญตักบาตร นางสั้นเนี่ยวจึงมาในงาน

ในวันทำบุญตักบาตร ซึ่งจัดทำบุญกันขึ้นที่บ้านของผู้ตายนั้นเอง เมื่อพระสงฆ์ที่นิมนต์มาในงาน กำลังสวดมนต์ถึงบทพาหุง ญาติพี่น้องและชาวบ้านซึ่งมาร่วมทำบุญในงานก็กำลังเตรียมตัวใส่บาตร ตามธรรมเนียมที่นิยมกันว่าเมื่อพระสวดถึงบทพาหุงก็ให้เจ้าภาพหรือผู้มาร่วมงานใส่บาตร แต่ในวันนั้นทุกคนต่างก็รอให้นางสั้นเนี่ยวซึ่งเป็นเจ้าภาพใส่บาตรก่อน ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นางลัดเนี่ยวซึ่งเป็นลูกสาวนายขวัญแก้วและนางสั้นเนี่ยว ได้ลุกขึ้นทำผ้านุ่งถกเขมรหยักรั้งเข้ามาทำท่าทางเหมือนผู้ชาย แล้วร้องขึ้นว่า “ อีสั้นเนี่ยว มึงอย่าใส่บาตรให้กู กูไม่กินของมึง มึงอย่าใส่ อย่าใส ” แต่คนที่มาในงานซึ่งไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็บอกให้ใส่เถิด ครั้นนางสั้นเนี่ยวตรงมาจะใส่บาตรอีก นางลัดเนี่ยวก็ตรงไปหานางสั้นเนี่ยวเงื้อมือจะตบพร้อมสำทับขึ้นว่า “ อีสั้นเนี่ยวมึงอย่าใส่บาตร ถ้าใส่กูตบ ” นางสั้นเนี่ยวจึงชะงักมือยืนงง

ในขณะนั้น นางดวม พาณิช ซึ่งเป็นญาติของผู้ตาย เห็นเหตุการณ์ผิดปกติเช่นนั้น คิดว่า คงเป็นวิญญาณของผู้ตายมาสิงจึงร้องปลอบไปว่า “ อย่าทำอย่างนั้นเลยพี่

อายคนเขา ”

“ เออ อีสั้นเนี่ยว กูไม่ให้ใส่บาตร กูไม่กินของมัน ยังขืนใส่กูตบจริง กูเสียใจน้องดวม ” นางลัดเนี่ยวซึ่งถูกวิญญาณของพ่อมาสิง พูดพลางร้องไห้พลางเ พราะความน้อยใจ

นางดวมซึ่งเป็นญาติลูกผู้พี่ผู้น้องกับผู้ตายก็สลดใจไปด้วย จึงพูดขึ้นว่า “ ไม่กินของพี่สาวก็กินของลูกหลานเสีย ”

“ เออ ของลูกของหลาน กูกิน แต่ของอีสั้นเนี่ยว อย่าใส่บาตรนะ กูไม่กินของมัน ” นางลัดเนี่ยวตอบ

เมื่อนางสั้นเนี่ยวงดใส่บาตร เหตุการณ์ก็สงบ ทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ต่างก็งงงันในเหตุการณ์นั้น ไปตามๆ กัน

ต่อมา หลังจากวันเกิดเหตุการณ์แปลกนั้นมาราว ๒ ปี นางสั้นเนี่ยวก็ล้มป่วยลงด้วยโรคอย่างหนึ่ง อาการก็ทรุดหนักลงๆ และเหตุการณ์ซึ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก คือนางลัดเนี่ยว ซึ่งกำลังพยาบาลอยู่กลับหัวเราะ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความเย้ยหยันว่า “ เป็นไร อีสั้นเนี่ยว มึงตายเหมือนกัน ไม่ใช่ตายแต่กู มึงต้องตายสมกับที่มึงละทิ้งกูมึงต้องตาย ต้องตาย อีสั้นเนี่ยว กูยังเจ็บใจมึงอยู่ไม่หาย ”

และนอกจากนี้แล้วก็ยังพูดจาถากถางต่างๆ นานา ใครจะพูดจาขอร้องอย่างไรก็ไม่ฟังเสียง จนกระทั่งมีคนไปตาม นางดวม ผู้เป็นญาติสนิทมาพูดจาขอร้อง เหตุการณ์จึงสงบลง

เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงที่โยมบิดาของผู้เขียนเล่าให้ฟัง โดยบันทึกเหตุการณ์เอาไว้เพราะผู้ตายก็เป็นญาติกับโยมบิดาของผู้เขียน และเป็นเรื่องค่อนข้างสะเทือนใจ แม้จะเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ ๔๕ ปี มาแล้วก็ตาม และผู้เขียนยังได้ไปถามนางดวม ซึ่งเป็นอาของผู้เขียนเพิ่มเติม ก็ได้รับการยืนยันตรงกับที่โยมบิดาของผู้เขียนได้เล่าให้ทราบ

คนเราทุกคน เมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดในทันทีทันใด เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น แต่จะไปเกิดอยู่ภูมิใด ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของตนที่ทำเอาไว้ อย่างกรณีของนายขวัญแก้วนี้ สันนิษฐานว่า อาจจะไปเกิดในภูมิของเทวดาหรือภูมิของอสุรกาย ( ผี ) ภูมิใดภูมิหนึ่งซึ่งเป็นภูมิที่เป็นอทิสสมานกาย คือกายไม่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาธรรมดา และเป็นผู้ที่สามารถเข้าสิงในร่างกายของมนุษย์ได้

อนึ่ง เรื่องนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ตายไปแล้วย่อมสามารถรู้เห็น และสามารถรับกุศลผลทานที่ญาติทำและอุทิศให้จากโลกนี้ และข้อที่เราพึงสังวรอยู่ประการหนึ่งเกี่ยวกับคนที่เจ็บใกล้จะตายคือ อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่ขัดใจของผู้นั้น เพราะจะทำให้วิญญาณของผู้นั้นเกิดความไม่พอใจ และผูกพยาบาทขึ้นได้ แม้จะไปเกิดในภพใหม่แล้วก็ตาม

วิญญาณห่วงหลาน

“ เณร , แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจอยู่ จะไปมีความห่วงใยในอีสาวกุหลาบอยู่ จะไปเกิด ( ในภพอื่น ) ก็ไม่ได้ จึงได้ไปพาเณรมาปรึกษาเรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกทั้ง ๔ คน คนละส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่าให้ยกอีกุหลาบมัน เพราะเป็นเด็กกำพร้าแม่มาแต่เล็ก …”

เริองนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ณ บ้านชะแล้ ต . ชะแล้ อ . เมือง จ . สงขลา เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเล่าอัดเทป โดยพระภิกษุ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งอยู่วัดภูตบรรพต ( เขาผี ) ต . ชะแล้ อ . เมือง จ . สงขลา และพระครูสัมพิพัฒนวิริยาจารย์ ( พัลลพ วลฺลโภ ) แห่งวัดราชผาติการาม กรุงเทพฯ ได้เอื้อเฟื้อส่งเทปเรื่องนี้ให้ผู้เขียน เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๒๒

 

เรื่องมันแปลก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่เป็นเรื่องจริงซึ่งเกิดขึ้น

แล้ว เมื่อเดือนธันวามค ๒๕๒๒ เรื่องมีอยู่

นางขุ้ย ( ไม่ทราบนามสกุล ) อยู่บ้านชะแล้ หมู่ที่ ๕ ต . ชะแล้ อ . เมือง จ . สงขลา อายุประมาณ ๗๕ ปี ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคอะไรไม่ปรากฎ เมื่อต้นเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นเดือนที่ฝนกำลังตกชุกในภาคใต้ น้ำก็กำลังท่วม ณ บริเวณหมู่บ้านแห่งนั้น ซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งทะเลสาบสงขลา ครั้นจะเก็บศพไว้บำเพ็ญ ที่บ้านตามประเพณีที่นิยมกันในถิ่นนั้นก็ไม่สะดวกเพราะน้ำท่วม เรือแพก็ขัดข้อง จะนิมนต์พระไปสวดพระอภิธรรมก็ไม่อาจจะไปได้ ลูกหลานและญาติพี่น้องจึงได้ตกลงกัน ให้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้ อันเป็นวัดประจำหมู่บ้านแห่งนั้น

เมื่อลงมติเห็นพร้อมกันแล้ว ก็ได้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้ ทำพิธีสวดอยู่ ๕ คืน จนกระทั่งถึงวันกำหนดเผา ญาติพี่น้องก็มาเผาศพนางขุ้ยครั้งนี้โดยพร้อมหน้าตากัน โดยทำพิธีเผาที่ป่าช้าประจำหมู่บ้านแห่งนั้น

เนื่องจากนางขุ้ยเป็นคนที่เกิดที่บ้านชะแล้นี้เอง และมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันถึง ๑๒ คน แต่ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ๑๑ คน รวมทั้งนางขุ้ยนี้ด้วย ที่ยังมีชีวิตอยู่เพียง ๑ คน นางขุ้ยจึงมีลูกหลายมากเมื่อลูกหลานและญาติพี่น้อง ทั้งที่อยู่ใกล้และ ไกลมาพร้อมเพรียงกันแล้ว จึงทำให้งานศพนางขุ้ยเป็นงานใหญ่มากงานหนึ่งในตำบลนี้

ในงานนี้ ญาติพี่น้องได้รวมความเห็นกันว่า จะให้หลานชายนางขุ้ย ผู้เป็นลูกของลูกสาวคนสุดท้องของนางขุ้ยเองบวชหน้าศพ เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้นางขุ้ย ผู้เป็นแม่เฒ่า ( ยาย ) ดังนั้น ญาติพี่น้องจึงได้ให้นายจีน อายุ ๑๘ ปี ซึ่งเป็นบุตรของนางเป็ด ได้บวชหน้าศพ

เมื่อตกลง กันแล้ว ญาติพี่น้องก็ไปจัดซื้อเครื่องบวชมาพร้อม แล้วนิมนต์พระอุปัชฌาย์มาบวชที่วัดชะแล้ โดยบวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้ว รุ่งขึ้นก็เคลื่อนศพไปป่าช้าเพื่อเผาตามธรรมเนียมในชนบท โดยได้นิมนต์พระจากวัดต่างๆ มาสวด มาติกาบังสุกุลด้วย งานฌาปนกิจศพก็เป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น

แต่หลังจากที่เผาศพแล้ว ก็มีเรื่องซึ่งไม่น่าคาดฝันเกิดขึ้นกับสามเณรบวชใหม่ เพราะมีต้นเหตุมาจากพินัยกรรมของนางขุ้ยเอง คือ

เมื่อประมาณ ๘ ปี ที่ล่วงมานี้ นางขุ้ยได้เอาหลานสาวมาเลี้ยงไว้คน

หนึ่ง ชื่อ กุหลาบ ซึ่งเป็นลูกของลูกชายคนโตของนางขุ้ย โดยเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ จนเดี๋ยวนี้มีอายุได้ ๑๕ ปี นางขุ้ยเรียกหลานสาวคนนี้ว่า “ อี่สาว ” เป็นประเพณีการเรียกชื่อหลานของคนในถิ่นนี้ แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า กุหลาบ ตามชื่อจริงกุหลาบเป็นเด็กดี มีความกตัญญูกตเวที แต่เป็นเด็กกำพร้าแม่มาตั้งแต่อายุได้ ๓ ขวบ แล้วนายหิ้มผู้เป็นพ่อก็มีเมียใหม่ ครั้นจะให้อยู่ที่บ้านด้วยกันก็เกรงว่าจะเกิดขัดใจกับเเม่เลี้ยง นายหิ้มจึงตัดสินใจเอากุหลาบมาฝากไว้กับนางขุ้ยผู้เป็นแม่ ตั้งแต่กุหลาบอายุได้ ๘ ขวบ พราะนางขุ้ยขณะนั้นก็ไม่มีใครอยู่ด้วย เนื่องจากลูกๆได้แต่งงานเเละมีครอบครัวไปอยู่ต่างหากกันหมดแล้ว

นางขุ้ยมีลูก ๔ คน คือ

คนที่หนึ่งชื่อ นายหิ้ม บิดาของกุหลาบ

คนที่สองชื่อ นายผิน ปัจจุบันอยู่ ต . ประดู่ อ . ปากพะยูน จ . พัทลุง

คนที่สามชื่อ นายส้อง มีภรรยาแล้ว อยู่ที่ ต . ชะแล้ หม่ ๓

คนที่สี่ เป็นหญิงชื่อ นางเป็ด ไปมีสามีอยู่ที่จังหวัดตรัง

ต่อมานางขุ้ยป่วยมีอาการค่อนข้างหนัก และรู้สึกตัวว่าจะไปไม่รอดแล้ว จึงให้เรียกลูกทั้ง ๔ คน มาพร้อมหน้ากันแล้วพูดขึ้นว่า “ มาพร้อมกันทุกคนแล้วนะลูก แม่รู้ตัวว่าจะไม่รอดแล้ว แม่จึงอยากแบ่งสมบัติให้กับลูกทั้ง ๔ คน ในขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่และยังมีสติดีอยู่ สมบัติของแม่ก็มีไม่มาก แต่พอจะแบ่งให้ลูกๆได้ตามที่แม่มี ”

ลูกทั้ง ๔ คน เมื่อแม่พูดเช่นนั้นแล้ว ต่างก็ไม่สบายใจที่ผู้บังเกิดเกล้าจะจากไปแต่ก็รู้สึกยินดีที่แม่จะได้แบ่งสมบัติให้เรียบร้อย จะไม่ต้องยุ่งยากในภายหลัง จึงได้พูดขึ้นว่า “ แบ่งเสียให้เรียบร้อยให้สมบูรณ์ ดีแล้วแม่ จะไม่ยุ่งยากภายหลัง เมื่อไม่มีแม่แล้ว ”

นางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า “ ที่นา แม่จะแบ่งให้ แปลงไหนจะให้ลูกคนไหน แม่จะบอกไว้ แบ่งให้เท่าๆกันทั้ง ๔ คน เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันในภายหลัง แม่จะทำไว้ให้ถูกต้อง แต่แม่จะแบ่งสมบัติออกไว้ ๕ ส่วน คือ ส่วนที่ ๕ เมื่อแม่ตายไปแล้วแม่จะให้กับกุหลาบมัน เพราะอี่สาวกุหลาบ แม่นำมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย ลูกทุกคนจะเห็นด้วยหรือไม่ กุหลาบนี้เมื่อโตขึ้นแล้วก็ได้เลี้ยงดูช่วยเหลือแม่ ได้หุงข้าวหุงปลา ปฏิบัติแม่เมื่อเจ็บไข้ไม่สบาย รวมทั้งอาหารการกินต่างๆกุหลาบก็เป็นผู้จัดทำ ฉะนั้นนาแปลงนี้ แม่จะให้กับอี่สาวกุหลาบมัน “ ลูกทั้ง ๔ คนก็ยินยอมเห็นด้วย ”

 

 

 
  1 I 2 I 3 I 4 I 5 I 6 I 7 I 8 I 9 I 10 I 11