ชีวิตเด็กวัด ตอนที่ 1

ผู้ปกครอง ( บิดา มารดา) ได้ส่งข้าพเจ้าไปอยู่ที่วัดกลาง ( ปัจจุบันชื่อวัดนารายร์มหาราช) จังหวัดนครราชสีมา เมื่อข้าพเจ้าายุได้ 11 ปี หลักจากเรียนจบชั้นประถมศึกษาพออ่านออกเขียนได้ บิดามารของข้าพเจ้ารู้จักคุ้นเคยกับท่านอาจารย์ปลัดตาเจ้าอาวาส จึงฝากข้าพเจ้าให้เป็นศิษย์ของท่าน เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้เป็นเด็กวัดโดยสมบูรณ์นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ในวัดกลางนี้มีเด็กวัดประมาณ 10 คน ซึ่งทุกคนจัดเป็นเด้กใหญ่กว่าข้าพเจ้าเป็นส่วนมาก จะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับข้าพเจ้าอยู่บ้างก็คือไอ้จุ่นคนเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่มีนิสัยชอบการประหยัด เรียบร้อยสะอาด เพราะถูกฝึกมาจากผู้ปรกครองเป็นอย่างดีมาแล้ว จึงทำให้อาจารย์ปลัดตารักใคร่ข้าพเจ้ามากและข้าพเจ้าก็เป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ต่อท่านเป็นลำดับต่อมา

ครั้นอยู่มานานเข้า ข้าพเจ้าก็คุ้นเคยกับเด็กวัดทุกๆคน ครั้งแรกเด็กวัดที่เกรงข้าพเจ้า เพราะเป็นเด็กของท่านสมภารวัด แต่ต่อมาความเกรงเหล่านี้ก็ดูเหมือนคอ่ยค่อยๆ เลือนหมดไปทุกทีๆ จึงเกิดมีการกลั่นแกล้งก่อกวนกันขึ้นระหว่างเด็กใหญ่กับเด็กเล็ก ซึ่งสรุปแล้ว เด็กเล็กๆอย่างข้าพเจ้าต้องเสียเปรียบถูกกลั่นแกล้งอยู่วันยังค่ำ เช่น ข้าพเจ้าโดนเด็กใหญ่บังคับให้เลียขี้ไก่ ข้าพเจ้าโดนเด็กใหญ่ขี่คอแลว้ให้เกินระยะไกล ข้าพเจ้าโดยเด็กใหญ่ให้หาบหามของหนักมาจากป่าด้วยความลำบากยิ่ง ส่วนมันเดินลอยชายสบาย ข้าพเจ้าโดยเด้กใหญ่ใสความโดยไม่มีมูลความจริง จนท่านอาจารย์หลงเชื่อลงโทษเฆี่ยนตีจนหลังลาย เมื่อข้าพเจ้าโดนความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นไม่ทราบว่าจะพึ่งใคร เพราะขณะที่ข้าพเจ้าถูกผู้ปกครองนำมามอบตัวนั้น ท่านก็ได้บอกกับท่านอาจารย์ว่า จะเฆี่ยนอย่างไรก็นิมนต์ตามสบาย ขอแต่ลูกนัยตาทั้ง 2 ข้างเหลือไว้ให้ผมเท่านั้นแหละครับ

 

นี้เองเป็นจุดที่เราจะต้องพึ่งตัวเอง ตามกำลังสติปัญญาเพียงลำพัง ทำให้เกิดความคิดหักเห ข้าพเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงความเป็นคนเรียบร้อยละมุนละมัย ตามที่ผู้ปกครองได้ฝึกฝนมา จนเกิดเป็นบุคคลที่แข็งแกร็งขึ้นตามลำดับ เพราะใจของจข้าพเจ้าเป็นนิสัยไม่ยอมใครๆง่ายๆอยู่แล้ว หากคิดว่าจะสู้ใครแล้วเป็นการถวายหัวเลยทีเดียว

 

แต่ก่อนๆมาใครๆก็คงทราบว่า ชีวิตเด็กวัดนั้นนอกจากจะอดทนแล้วก็ต้องช่วยตัวเองเป็นหลักสำคัญ มิฉะนั้นก็จะเป็นเด็กวัดไม่ได้ ก็เมื่อชีวิตของเด็กวัดต้องลำบากยากแค้นแสนลำเค็ญเช่นนี้ ทำไมผู้ปกครองจึงชอบที่จะเอาลูกหลานของตนไปเข้าอยู่วัด ซึ่งทั้งนี้ก็คงเป็นเพราะว่าสมัยนั้นเราจะหาแห่งการศึกษาที่ดีกว่าวัดนั้นยากมาก วัดจึงเป็นแหล่งศึกษาอบรมให้กลบุตรได้เป็นผู้ใหญ่เป็นโตกันมามากต่อมาก ชาวไทยทั้งหลายจึงนิยมให้บุตรหลานของตนเข้าไปอยู่วัด แต่ว่าแม้การอยู่วัดจะเป็นแหล่งให้เกิดความดีงามเป็นมันสมองของชาติและพระพุทธศาสนาก็ตาม ในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งเพราะสันดานดื้อสันดานร้ายไปในตัวอีกเช่นกัน คงไม่ผิดนักที่ท่านได้กล่าวต่อกันมาจนติดปากว่า สิ่งใดมีคนอนันต์ สิ่งนั้นก็มีโทษอย่างมหันต์

 

ในวันหนึ่งท่านปลัดตาผู้อาจารย์ของข้าพเจ้าได้พอข้าพเจ้าไปเที่ยวบ้านนอก เพื่อบิณฑบาตรข้าวเปลือก ข้าวสาร พริก เกลือ จะได้นำมาไว้เป้นเสียบงกรังแก่พระและเด็กวัด ขณะที่เดินเข้าเดินทางไปตามหู่บ้าน ต่างๆ ก็ได้พอกันแวะพักบ้านละคืนสองคืน วันนั้นเดินทางไปตามหมู่บ้านพลกรัง โดยพักอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งเขาจัดให้ท่านพักที่ศาลา ท่านอาจารย์จำวัตร (นอน) บนอาสน์สงฆ์ ข้าพเจ้านอนที่พื้นศาลา ในวันรุ่งขึ้นตอนเช้าพวกชาวบ้านมากันทำบุญกันมาก อาหารกินเหลือหลาย ในเมื่อชาวบ้าน เขาทำบุญกลับหมดแล้ว ยังมีโยมอยู่คนหนึ่งเป็นผู้หญิงอายุราวๆ 60 ปี เป็นแม่บ้านผู้มีอันจะกินอยู่ในละแวกนั้นเอง ยังทำรีรอไม่กลับบ้านหลังจากทำบุญเสร็จแล้ว เขาเกิดมีความสนใจในตัวข้าพเจ้าเป็นพิเศษ ได้เรียนข้าพเจ้าว่า “ เจ้าหนู มาหาแม่หน่อยซิ “ ข้าพเจ้าก็รีรออยู่เป็นชั่วขณะ จึงได้เข้าไปหาแก แกดีใจมากโอบกอนดข้าพเจ้าด้วยความรักใคร่ เรียกข้าพเจ้าว่า “ ลูกๆ”

แล้วก็ชวนข้าพเจ้าให้ไปที่บ้านของแก ข้าพเจ้าไปได้แต่ต้องขออนุญาติจากท่านอาจารย์ผมก่อน โดยแกบอกว่าไม่ต้องหรอก เพราะอาจารย์กับโยมคุ้นเคยกันมาก ข้าพเจ้าก็อิดๆออดๆ ไม่ยอมไป เพราะขณะนั้นอาจารย์ปลัดตาท่านกำลังคุยกับท่านสมภารที่วัดนั้นอยู่และท่านก็พักกลางวันอยู่ ไม่ได้โอกาสที่จะเข้าไปลาท่านได้ แต่โยมแก่ก็ไม่ยอม พูดเกลี้ยกล่อมนำเอาข้าพเจ้าไปบานของแกจนได้ เมื่อไปถึงบ้านแล้วแกก็รีบจัดการอาหาร หลายๆ อย่างมาให้ข้าพเจ้ารบประทาน ทั้งพูดสัพยอกกับข้าพเจ้า เหมืนอกับคนที่เคยเป็นลุกเป็นเต้ากันมาก่อน เวลาผ่านไป จนตกเย็น ก่อนจะพาข้าพเจ้ากลับมาที่วัด แกก็ให้สตางค์ข้าพเจ้า 1 บาท นับว่ามากทีเดียว ในเมื่อขณะนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 สตางค์ และแกก็ยังตามมาส่งข้าพเจ้าถึงวัด

 

เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่งทำให้โยมคนนนี้ต้อเสียใจอย่างสุดซึ่งก็เกิดขึ้น ในเมื่ออาจารย์ปลัดตา ได้เห็นข้าพเจ้ากลับมาในตอนเย็น ซึ่งเหมือนกับหนีไปไม่บอก ท่านเตรียมเส้นใหญ่ๆไว้ 1 กำมือรอที่จะหวดข้าพเจ้าอยู่แล้ว ท่านก็ไม่รีรอ เสียงตวาดข้าพเจ้ามาแต่ไกล “ ไอ้นี้มานี้ๆ” พอเข้าไปไกล้ ท่านจับข้าพเจ้าหวดด้วยทีท่านเตรียมไว้อย่างไม่มีปรารีไม่ต้องนับว่าตีเข้าไปเท่าไหร่ มิไยที่โยมแกขอร้องบอกว่าขอโทษ ได้โปรดเถิดเจ้าข้า ฉันพาเด็กไปเอง ขอให้ตีโยมแทนเถอะเจ้าค่ะ โยมแกก็นั่งร้องให้อย่างน่าสงสารเวทนาเช่นเดียวกับข้าพเจ้าก็ร้องให้จนสุดเสียง จนเสียงร้องจะไม่มีอยู่แล้ว หลวงพ่อก็ยังไม่หายโกรธ โธ่เอ๋ยตีเด็กขนาดนี้จนตกในกำมือ นั้นละเอียดหมดแล้ว กางเกงที่ข้าพเจ้านุ่งอยู่ได้ขาดกระจายไปกับเส้นตอก ข้าพเจ้ามองเห็นโยมนั้นแกทนดูไม่ได้นั่งหลบฝาร้องให้อย่างน่าเวทนา ใจของข้าพเจ้ากลับห้าวหาญขึ้นอีกวาะหนึ่ง นึกชังอาจารย์ของข้าพเจ้าขึ้นมาทันทีกัดฟันทนหยุดร้องและอึ้งไป ในขณะที่อาจารย์ของข้าพเจ้าได้หยุดการเฆี่ยนลง

 

หลังจากได้อาบน้ำชำระกายเรียบร้อยนั้นโยมก็ได้กลับบ้านไปแล้วหวังหลังต่อาอาจารย์ก็กลับมาอยู่วัดตามปรกติ ข้าพเจ้าได้กลับมานิสัยจากเด็กชื่อมาเป็นเด็กขรึม ซึ่งบางครั้งอาจารย์ก็เกิดความสงสัยว่าข้าพเจ้าจะเสียเด็กเพราะการเรียนมากไปหรืออย่างไร เพราะในขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังมุมานะเรียนบาลีไวยากรณ์อย่างหนัก ท่องทั้งกลางวันและกลางคืนจะเอามหาให้ได้แต่ความกระตือรือร้นในวันนั้นที่บ้านพลกรังยังเป็นลิ่มสลักปักจิตของข้าพเจ้าอย่างลึกซึ้งแน่นหนา จึงทำให้ข้าพเจ้าต้องไปคบคนที่ไม่ดี เป็นเด็กเกเรขึ้นมา ในอันดับต่อมา แต่อาจารย์ของข้าพเจ้าก็จับตามอง คอยดุด่าตักเตือนด้วยความหวังดีตลอดมา ข้าพเจ้าเคยเป็นเด็กเชื่อฟัง สอนง่ายในอดีต บัดนี้กลับเป็นเด็กที่ดื้อรั้นที่สุด จึงไม่ค่อยจะเชื่อฟังครูบาอาจารย์เท่าไหร่

 

 

อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าครุ่นคิดว่าจะต้องพยายามหนีจากที่นี้ไปให้ได้อย่างไม่มีจุดหมาย แม้จะเป็นเด็กแต่ในใจใหญ่คิดจะหนีก็จะหนีให้ได้ และก็าคิด่าเราจะต้องมีสตางค์บ้างเราจะได้มีกินในการเดินทาง เมื่อหาอุบายได้แล้วก็เข้าไปบีบนวดให้อาจารย์อย่างดี หลังจากบีบถวายท่านแล้วก็ออกปกขอเงินท่านๆถามว่าจะเอาเท่าไหร่ ข้าพเจ้าขอ 1 บาท ท่านใจดีให้ข้าพเจ้ามา 1 บาท 50 สตางค์

 

ในเย็นวันนั้น ข้าพเจ้าได้วางแผนหนีจากวัดกลางตามประสาเด็กๆ เพราะมีเงินอยู่ในตัวแล้ว ข้าพเจ้าได้ทำเป้นเล่นอยู่กับเด็กๆ ด้วยกัน แล้วเด็กเหล่านั้นมันก็พาไปเล่นนอกวัดจนมืดค่ำ เมื่อกลั้บมาแล้วก็โดนอาจารย์ดุด่าและตีศรีษะอีกหลายที ก็เป็นอันตัดสินใจเด็ดขาด ลักหนีจากวัดในเวลาหัวค่ำ ขอไปกับเด็กรถซึ่งในขณะนั้นมีรถเมลล์เก่าๆวิ่งอยู่ในเมืองไม่กี่คัน

 

พวกเด็กก็มันกันขึ้นรถมันก็ให้ไป เมื่อออกนอกเมืองได้แล้วข้าพเจ้าก็รีบเดินทางหนีต่อไปอ่างไม่มีจุดหมาย ค่ำไหนนอนนั่น ครั้งแรกๆก็นอนตามกระใดโรงหนัง พอคิดได้ว่า ประเดี๋ยวอาจารย์ตามมหา จะโดนตีใหญ่ จึงรีบหนีต่อไป โดยหานอนตามชายทุ่งบ้าง ป่าละเมาะบ้าง เป็นเวลา 10 กว่าวัน เงิน1.50 บาทก็หมดเสียแล้ว คิดว่าถ้าเรากลับบ้านก็โดนผู้ปกครองตีแน่ๆ ถ้ากลับวัดก็โดนอาจารย์ตรีไม่นับอีกแน่ๆ เราอย่ากลับเลย จึงไปตามประสากลัว เกิดอดข้าวขึ้นมา 2-3 วันแล้ว ไปเที่ยวหาเก็บเศษอาหารอยู่ตามข้างถนนเป็นปลอกมะละกอเปลือกแตงโมง ยอดอ้อยตามแต่จะได้ มันก็ไม่หายหิวแต่ก็ทนและก็ไม่ทราบจะทนไปถึงไหนและทนได้อย่างไร ใจนั้นก็ยังไม่คิดกลับบ้าน

 

อยู่มาวันหนึ่ง ในละแวกนั้นเขามีงานขบวนบวชนาคและมีการฉายภาพยนต์และลิเกกลางแปลง คนก็มาดูกันมาก ข้าพเจ้าก็เข้าไปดูกับเยาด้วยความเพลิดเพลิน แต่ต้องหิวเพราะไม่มีอาหาร แม่ค้าตั้งของต่างๆ ขายทำให้หอมฟังเตะจมูกอยู่ทั่วไป แต่ไม่มีสตางค์สักแดงเดียว ก็เลยจำต้องดูหังไปเพลินๆก็หนายไปไปได้ชั่วขณะ จึงถึงรุ่งแจ้งคืนั้นข้าพเจ้าไม่ไได้นอนเลย เมื่อพวกคนดูและแม่คากลับหมดแล้ว ข้าพเจ้าก็เที่ยวเดินทางเก็บเศษอาหารนั้นเอง มันถึงคราวไม่ตายอย่างไร ข้าพเจ้าแทบจะไม่เชื่อตาของตนเองเมื่อเหลือบไปเห็นสตางค์แดงซึ่งตกอยู่เป็นกองใหญ่ ข้าพเจ้าก็มองหน้าหลังไม่เห็นคนแล้วก็กตอบใส่กระเป่าแล้วก็ห่อชายผ้าข้าวม้า นับว่ามากทีเดียว ประมาณกว่า 10 บาท

 

นี้เป็นการอิ่มเอิบใจ นึกตามประสาเด็กว่าเราไม่ตาย หนีไปได้ต่อไป ณ สถานที่แห่งนี้ ไกล้กับสนามบินของทหาร ข้าพเจ้าไปทำสุ้มนอนอยู่ใกล้ๆจอมปลวก ตอนสายๆ ข้าพเจ้าก็จะออกมาดูเครื่องบินขึ้นๆลงๆ ตอนกลางคืนก็จะกลับเข้ามานนโดยยังหาจุดหมายที่จะไปต่อยังไม่ได้

 

ทางท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าก็เดือดร้อนเป็นการใหญ่ ได้ส่งเด้กวัดออกติดตามหาข้าพเจ้าอย่างพลิกแผ่นดิน ได้ถามข่าวไปทางบ้านว่าหนีกลับบ้านหรือเปล่า ก็ไม่เห็น เป็นเวลา ถึง 20 กว่าวัน พวกเด็กวัดชั้นโตไม่เป็นอันเรียนหนังสือกันแล้ว พาเที่ยวออกติดตามข้าพเจ้าวุ่นวายไปทั้งวัด

 

ขณะที่เด็กวัดคนหนึ่งเป็นเด็กกว่าเพื่อนชื่อว่า หรั่ง ได้ติดตามไปเห็นข้าพเจ้านั่งมองเครื่องบินขึ้นๆลงๆอยู่นั้น มันรีบย่องเข้าไปข้างหลังอย่งที่ข้าพเจ้าไม่รู้ตัว เอาผ้าขาวม้ามัดแขนไขว้หลัง พลางพูดว่า “ อ้ายห่าเอ้ย กูตามหาแทบตาย มึงรีบกลับไป คราวนี้คงโดนตีแตกได้เลือดเอาเกลือมาทาเชียวละ ข้าพเจ้าเมื่อถูกจับก็ใจหายคิดหนีต่อไป ก็บอกว่าอ้ายหรั่ง “ นี้แก่ไม่ต้องผูกแน่นนัก กันไม่หนีหรอก” มันก็หย่อนให้ แล้วไปว่าจ้างระเจ๊กมาให้ข้าพเจ้าขึ้นรถเจ๊กเจ๊กก็ลากไป เจ้าหรั่งตามไปติดๆ

 

ขณะนั้นรถเจ๊กได้วิ่งออกห่างออกไปๆ เจ้าหรั่งวิ่งไม่ทัน พอถึงหัวโค้งเป็นป่าละเมาะพอดีผ้าที่มันข้าพเจ้าหลุด เมื่อได้ที่ข้าพเจ้าก็กระโดดลงจากรถวิ่งหนีเข้าไปในป่า เจ็กที่ลากรถร้องลั่นว่า “ ไอ๋หย่า อีหนีเลี้ยว” ไอ้หรั่งโมโหใหญีรีบวิ่งตามแต่ไม่ทัน ข้าพเจ้ารีบวิ่งเข้าไปซุกอยู่ในพุ่มไม้แบ้วเอากิ่งไม่ใบไม้คลุมตามตัว ทั้งเจ๊กและเจ้าหรั่งก็ไล่กวนติดตามหา เสียงเจ๊กบอกว่าอยู่ตรงนี้ๆ เจ้าหรั่งก็ไล่กวดไปเกือบจะเหยียดข้าพเจ้าอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่เห็นแล้วมันก็เดินไกลออกไปอีก เที่ยวเวียนไปเวียนมาไม่ยอมไปทางอื่นข้าพเจ้าหมอบอยู่ตรงนั้นคิดว่าให้มันไปทางอื่นก่อนแล้วจึงค่อยหนึ คราวนี้กลับบ้านแน่คิดอยู่อย่างนี้

 

ขณะที่นอนเอากิ่งไม้ใบไม้คลุมอยู่นั้น เจ้ามดมันไต่เข้าไปในรู้จมูกของข้าพเจ้ารีบขยี้จมูกกลัวจะจาม แต่ทนไม่ไหวเลยจาม ฮัดเช้ย เสียงดังออกมา เจ้าหรั่งได้ยินเสียงรีบเข้าตระคลุบตัวข้าพเจ้าไว้ได้ คราวนี้มันมันเสียแน่นแตนแทบหัก เจ๊กก็ลากรถออกวิ่งโทงๆ เข้าไปในวัดกลาง เจ้าหรั่งแก้หมัดข้าพเจ้านำตัวเข้าไปถวายอาจารย์ปลัดตา ข้าพเจ้ากราบลงด้วยความกลัว นึกว่าคราวนี้จะแย่แน่แล้ว อาจารย์ปลัดตาได้ลุกขึ้นตาเขียวปั้นเดินตรงเข้ามาหาข้าพเจ้า อย่างกับเสือจะกินเนื้อ ทำเอาข้าพเจ้าใจหายไปเลย อาจารย์ได้เข้ามาเขกกระบาลเกือบสิบครั้งอย่างแรง แต่ดูเหมือนไม่ใคร่เจ็บปวดเท่าไหร่ พลางก็ดุข้าพเจ้าอย่างหนัก แล้วก็บอกให้ข้าพเจ้าให้กลับไปที่พักได้

 

ข้าพเจ้าก็รอดจากการเฆี่ยนตีไปได้ครั้งนี้ และก็เริ่มเรียนบาลีไวยากรณ์ต่อไป

 

จุดเริ่มต้นของชีวิต
ยังไม่ถึงคราวตาย
ธรรมกับเด็ก
ชีวิตเด็กวัด ตอนที่ 1
ชีวิตเด็กวัดตอนที่ 2
ชีวิตเด็กบ้านนอก
มโนธรรม