คนละเรื่องเดียวกัน

 
 
 

 

เมื่อหลายปีก่อน มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ค่อนข้างจะดังและเป็นที่รู้จักของนักอ่านที่สนใจ เรื่องทางจิตวิทยาชื่อ MEN ARE FROM MARS AND WOMEN ARE FROM VENUS แปลเป็นไทยง่ายๆ ก็คือ ผู้ชายมาจากดาวอังคารและผู้หญิงมาจากดาวพระศุกร์ สิ่งที่เป็นหัวใจหลักของหนังสือเล่มนี้ อยู่ตรงที่ว่า ผู้ชายผู้หญิงมีความแตกต่างกันไม่เพียงแต่โครงสร้างของร่างกาย แต่ยังรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นด้านของความนึกคิด จิตวิญญาณที่แตกต่างกัน คล้ายๆ กับจะบอกเราว่า ผู้ชายมาจากดาวอังคารที่เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม ส่วนผู้หญิงมาจากดาวพระศุกร์ หรือเทพแห่งความงาม เมื่อผู้ชายผู้หญิงกำเนิดมาจากโลกที่ต่างกัน ดังนั้นย่อมจะมีความต่างกัน ดาวอังคารจะไปกะเกณฑ์ให้ดาวพระศุกร์คิดนึกเหมือนดาวอังคารได้อย่างไร ส่วนดาวพระศุกร์ก็เช่นกัน ไม่สามารถคาดหมายให้ดาวอังคารมาเขาใจความรู้สึกที่เป็นความละเอียดอ่อนของดาวพระศุกร์ได้

ผู้แต่งเรื่องนี้คือ จอห์น เกรย์ (John Gray) กล่าวว่า ผู้ชายและผู้หญิงมักจะไม่เข้าใจกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเราคาดหมายให้อีกเพศหนึ่งมาคิดนึกรู้สึกเหมือนเพศเรา ซึ่งเขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้

เรา (คือผู้หญิง) มักเข้าใจผิดคิดว่า ถ้าเรารักผู้ชายสักคน เขาคงจะรักเราตอบในระดับเดียวกับที่เรารักเขา แต่จากการศึกษาทางจิตวิทยาพบว่า ผู้หญิงโดยเฉลี่ยมักคิดว่า ผู้ชายรักเธอมากกว่าในความเป็นจริง ความจริงคืออะไร ? ความเป็นจริงก็คือ ผู้ชายก็รักเหมือนกัน แต่ไม่ได้รักมากมายเหมือนกับที่ผู้หญิงรักพวกเขา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือธรรมชาติแท้ๆ ของผู้ชาย แต่ผู้หญิงมักไม่รู้ และก็มักจะอยู่ในโลกแห่งการเพ้อฝัน อยากให้ผู้ชายปฏิบัติต่อพวกเธอในลักษณะที่เธอคาดว่าถ้าเขารักฉัน เขาต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผู้ชายไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเธอต้องการ เธอก็จะรู้สึกผิดหวังในตัวเขามาก

ในส่วนของผู้ชายก็เช่นกัน ผู้ชายมักจะคาดหวังให้ผู้หญิงคิดนึกแสดงออกในลักษณะที่ผู้ชายจะทำ แต่เขาก็ต้องพบกับความงุนงงไม่เข้าใจวิธีคิดและการแสดงออกของฝ่ายหญิง

จริงๆ แล้ว ทั้ง 2 เพศลืมไปเสียสนิทว่า มีความแตกต่างกันของการเกิดเป็นชายและเป็นหญิง เมื่อต่างฝ่ายต่างมองข้ามข้อนี้ ปัญหาต่างๆ ของการมีความสัมพันธ์จึงเกิดขึ้นเป็นลูกโซ่ แต่ถ้าเราจะเข้าใจ ในความแตกต่างระหว่าง 2 เพศ เมื่อเราเกี่ยวข้องกับคนที่ต่างเพศกับเรา เรื่องหงุดหงิดใจต่างๆ ก็จะลดลงไปได้มากมาย

ตัวอย่างเช่น ผู้ชายมักจะมุ่งเน้นในข้อมูล ข้อเท็จจริง และมองข้ามความรู้สึก โดยปราศจากการเข้าใจว่า ผู้หญิงชอบคนที่มีความละเอียดอ่อน และเข้าใจความรู้สึก ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่สนใจว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่ผู้ชายรับรู้ความรู้สึกของพวกเธอ เธอก็จะมีความสุขมาก

สมมุติว่า ผู้หญิงจะบอกผู้ชายของเธอว่า วันนี้รถเธอถูกเฉี่ยวชนมา เธอคาดหมายให้สามี (ซึ่งมาจากดาวอังคาร) ตอบทำนองว่า "เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ตกใจมากมั้ย"…แต่ปรากฏว่า สามีกลับตอบทำนองว่า "รถเสียหายมากไหม และประกันว่าอย่างไรบ้าง" คำตอบของสามีทำนองนี้ มักจะทำให้สาวดาวพระศุกร์น้อยใจว่า สามีสนใจรถมากกว่าตัวเธอ พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้หญิงต้องการความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ (SENSITIVITY) จากผู้ชายที่มาจากดาวอังคาร ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่จะขาดความอ่อนโยนในส่วนนี้ไป ในขณะที่ผู้ชายกลับมองไปว่าเรื่องทางด้านอารมณ์ หรือจิตใจเป็นสิ่งที่มองยาก ไม่จำเป็นต้องพูดมาก สู้มุ่งในเรื่องของเหตุและผลจะดีกว่า และนี่เองเป็นเหตุให้บ่อยครั้ง ผู้หญิงจะรู้สึกว่าผู้ชายไม่ใส่ใจเธอเท่าที่ควร ในขณะที่ผู้ชายมองว่า ทำไมผู้หญิงชอบคิดเล็กคิดน้อย ไม่เป็นเรื่อง

นอกจากนี้ ในเรื่องของการมีความสัมพันธ์ก็เช่นกัน คำว่า "ความสัมพันธ์" เป็นเรื่องที่ทั้งผู้ชาย และผู้หญิงให้ความหมายต่างกัน

ผู้หญิงส่วนใหญ่มองว่า เมื่อไปเดท (DATE) กับผู้ชายคนไหนสักระยะหนึ่งแล้ว ผู้ชายจะจริงจังกับตัว และเขากับเธอก็จะมีความรักที่ยั่งยืนนานต่อไปชั่วกัลปาวสาน แต่จริงๆ แล้วผิดทั้งเพ ผู้ชายส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้คิดเพ้อฝันหรือโรแมนติกอะไรกับผู้หญิง แม้ว่าเขาจะคบเธอมา 6-7 เดือน เลยก็ได้ ในขณะที่ผู้หญิงกำลังวาดวิมานในอากาศถึงวันที่ระฆังวิวาห์จะดัง เลยเถิดไปถึงการตั้งครอบครัว มีลูกเล็กๆ น่ารักยั้วเยี้ยะอีก 10 ปีข้างหน้า ผู้ชายอาจจะคิดเพียงแค่เย็นนี้เขาจะไปหาใครดี ระหว่างมารศรีและดุษฎี!

ผู้เขียนเคยอ่านเรื่องทำนองนี้ และอยากจะขอนำมาเล่าต่อให้แก่คุณผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้น เมื่อเราพูดถึงความสัมพันธ์ของผู้ชายผู้หญิง

สมมุติว่า นริศชวนอมราไปดูหนัง หลังจากดูภาพยนต์เสร็จเขาทั้งสองก็ไปทานอาหารค่ำต่อ และก็ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่ดูสดชื่น มีความสุข และหลังจากนั้น นริศก็ติดต่อไปมาหาสู่กับอมรา ทุกอาทิตย์มิได้ขาด เป็นเวลาประมาณ 5 เดือน

คืนหนึ่งหลังจากการทานอาหารค่ำเสร็จ นริศก็ขับรถพาอมรากลับบ้าน อมราซึ่งตั้งใจจะพูดมานานแล้ว เมื่อได้โอกาสดีทุกอย่างเป็นใจ เธอก็พูดขึ้นว่า "คุณนริศทราบไหมคะว่า เราเที่ยวกันมาได้ 5 เดือนแล้ว ?"

เมื่อเธอพูดจบลง ความเงียบก็ได้ปกคลุมรถคันนี้ อมราพอพูดออกไป เธอก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง กลัวไปสารพัด เธอรู้สึกโกรธตัวเอง
"ตาย เรานี่บ้าจริงๆ หาเรื่องแท้ๆ ถ้าเขาเกิดบอกว่าเขาไม่ได้ชอบเรา เราจะทำอย่างไรดี เราเร่งเร้าเข้าไปแน่เลย อยากตายลงไปเดี๋ยวนี้จริงๆ แล้วถ้าเผื่อเขาเกิดคิดว่า เราจะผูกมัดให้เขาตอบเรา และเขายังไม่พร้อม เราจะทำอย่างไรดี"
นริศ คิดว่า "โอ้โฮ 5 เดือนแล้วหรือเนี่ย"

อมรา คิดต่อว่า "แล้วถ้าเผื่อเขาพูดว่าเขาอยากจะจริงจังกับเรา แล้วเราแน่ใจเขาแล้วหรือ ? เราเองก็ยังไม่แน่ใจเลย เรากำลังจะก้าวไปสู่การผูกมัดตัวเองกับการแต่งงานแล้วหรือ ? ทั้งชีวิตเลยนะเนี่ย เราพร้อมจริงหรือเปล่า เราดูเขาเพียงพอแล้วหรือ เพียงแค่ 5 เดือนเท่านี้ ?"

นริศคิดว่า "เอ หมายความว่า ตอนนี้เดือนอะไรน้า อ้อ กุมภา แสดงว่า 5 เดือนที่แล้วก็คือ เดือนตุลาคมของปีที่แล้ว ตุลาเราเพิ่งรู้จักกัน อ๋อเป็นช่วงที่เราซื้อรถคันนี้พอดี จำได้แล้วคนขายเคยเตือนให้เรา เอารถไปเช็ก และเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง นี่มันเลยมาตั้งหลายเดือนแล้ว เขาบอกว่าช่วง 5,000 กม. นี่ยังไงก็ต้องเช็กเครื่อง แล้วดูเข็มซิ โอ้โฮตั้ง 8,000 แล้ว แย่จริงทำไมเราจึงเลินเล่ออย่างนี้ได้ไงนะ"

อมราคิด "เขาเงียบไปจริงๆ เขาคงรำคาญและโกรธเรา ดูสีหน้าเขาค่อนข้างกังวล ทำไมเราชอบทำอะไรโง่ๆ ออกไปทุกครั้งที่เจอคนที่เราถูกใจ เขาอาจจะยังไม่อยากผูกมัดตัวเอง เคยรู้มาว่า เขาควงผู้หญิงมาเยอะ ก่อนมาเจอเรา เขาคงเลือกผู้หญิง แล้วทำไมเรามาถามคำถามคาดคั้นเอากับเขาอีกนะเนี่ย"

นริศ คิด "เราคงต้องเอารถไปเข้าอู่พรุ่งนี้ อ้อ พรุ่งนี้มีประชุมคงต้องเป็นวันเสาร์ ไอ้เจ้าคนที่อู่ คงนึกว่าเรานี่ห่วยจริง ไม่รู้จักรักษารถปล่อยให้แล่นเกินไปไม่รู้จักเท่าไร แต่ช่างหัวมัน ใครจะว่าไง แล้วนอกจากเปลี่ยนน้ำมัน คงต้องให้เขาเช็กท่อนล่างสักนิด ทำไมเวลาแล่นมีเสียงแปลกๆ ทั้งๆ ที่เป็นรถใหม่ ไม่น่าจะมีปัญหาได้เลย ซื้อมาก็แสนจะแพง ไอ้พวกรถยุโรปนี่ เป็นอะไรนิดหน่อยก็หลายสตางค์ รู้งี้ซื้อรถญี่ปุ่นดีกว่า ค่าซ่อมก็ถูก หาอู่ก็ง่าย"

อมรา คิดว่า "เขาคงต้องโกรธเราแน่ๆ เลย เราเป็นเขาเราก็คงโกรธ อะไรคบกันไม่กี่เดือน เร่งเร้าเขา…เรารู้สึกเขาต้องดูถูกเรา อายเขาจริงๆ แต่เราก็อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา เราก็มีสิทธิ์รู้ โอ้ย รู้สึกแย่จัง"

นริศ คิด "เอ๊ แต่ถ้ามีอะไรกับเครื่องยนต์จริงๆ และต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนเราต้องเสียเงินไหมเนี่ย หรือมันยังอยู่ในช่วงประกันอยู่ เอ ไม่รู้ว่าเขาจะยอมไหม เราคงต้องรีบเช็กพรุ่งนี้เช้าแน่ๆ แล้ว"

อมราคิด "เราอาจจะเป็นคนเพ้อฝัน สร้างวิมานในอากาศมากไป เห็นเขาเป็นอัศวินขี่ม้าขาว ก็รีบกระโดดเกาะเสียแล้ว คิดมากไปเองคล้ายๆ เด็กสาวไร้เดียงสา มาเจอผู้ชายในฝัน ก็อยากจะไปอยู่กับเขาเสียแล้ว"
นริศ คิด "ถ้าทางอู่ไม่ยอม จะให้เราเสียเงิน เราต้องหาทางต่อรองกับเขาให้ได้

อมราพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ "นริศคะ"
นริศ "ว่าไงฮะ"
อมราพูดด้วยเสียงสั่นเครือจากความรู้สึกภายใน "นริศคะ ฉันขอโทษ ฉันทำตัวไร้เดียงสาจริงๆ อยู่แต่ในโลกในวิมานของตนเอง…"
นริศ "คุณว่าอะไรนะ วิมานงั้นหรือ?"
อมรา "ใช่ค่ะ ฉันผิดเอง คุณคงนึกตำหนิ"
นริศ "ผมตำหนิคุณอะไร? ผมเปล่า" นริศตอบด้วยความงุนงง
อมรา "คือฉันว้าวุ่นไปเอวง คุณอย่าถือในสิ่งที่ฉันถามคุณเลย ลืมมันเสียเถอะนะคะ" เธอเริ่มสะอึกสะอื้น

นริศยังงุนงงไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ก็พูดว่า "ครับ" เพราะไม่รู้ว่าจะปะติดปะต่อเรื่องได้อย่างไร
อมรา "ขอบคุณค่ะ นริศ ฉันรู้ว่าคุณต้องเข้าใจ และรู้ว่าฉันก็ยังต้องการเวลา"
นริศ "เวลาอะไร?"
อมรา "เวลาที่ฉันต้องคิดทบทวน"
นริศยังนั่งงง ไม่รู้จะต่อคำพูดของอมราได้อย่างไร หลังจากเวลาผ่านไป 15 วินาที อมราก็หันไปมองนริศ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นพร้อมกับพูดว่า "ขอบคุณที่สุด ฉันรู้ว่าคุณต้องเข้าใจ"

หลังจากเธอกลับถึงบ้าน อมราก็จะหมุนโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทเพื่อเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เพื่อนฟัง เกี่ยวกับเธอและนริศเป็นชั่วโมงๆ เธอรู้สึกเป็นปลื้มที่นริศเข้าใจ ให้เวลาเธอศึกษาเขาต่อไป ในเรื่องความสัมพันธ์ซึ่งเธอก็จะไม่เร่งเร้าเอากับเขาอีกต่อไป

ในขณะที่เมื่อนริศกลับถึงบาน เขาก็ตรงรี่ไปเปิดโทรทัศน์ดูฟุตบอลคู่เอกจากประเทศอังกฤษ ที่เขาตั้งใจจะดูมาหลายวันแล้ว เสียดายที่เวลาครึ่งแรกผ่านไป แต่ทั้ง 2 ฝ่ายยังทำอะไรกันไม่ได้ นริศเปิดเบียร์กระป๋องดื่ม หากับแกล้มและนั่งลงดูรายการอย่างจดจ่อ มีบางสิ่งบางอย่างที่เขารู้สึกว่าแปลกๆ เกิดขึ้นกับอมราเมื่อสักครู่ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเธอพูดถึงอะไร เขาปัดมันออกไปจากความคิด แต่ก่อนจะนอนคืนนั้น เขาคิดว่า พรุ่งนี้เช้าหากเขาเจอเพื่อนที่ออฟฟิศ คนที่แนะนำเขาให้รู้จักกับอมรา เขาจะถามว่า อมราพูดถึงวิมงวิมานอะไรสักอย่าง เธอเคยไปดูพระที่นั่งวิมานเมฆหรือไม่? เธออาจจะอยากไป ถ้าเธอยังไม่เคยไปเขาอาจจะพาเธอไปดูก็ได้ นริศคิดเช่นนั้นแล้วก็หลับไป

หลังจากอ่านเรื่องนี้จบลง คุณก็คงพอจะมองเห็นได้ว่า ทั้งนริศและอมรา ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างเข้าใจไปคนละเรื่อง คนละคลื่น ดังนั้นถ้าเราจะบอกว่าเขามาจาดาวคนละดวงก็คงไม่ผิด แต่สำหรับพวกเราๆ ทั้งหลายที่เริ่มเข้าใจในความแตกต่างของเพศหญิงและชาย เราก็คงพยายามเข้าใจว่า ในขณะที่เรากำลังสื่ออยู่กับคนต่างเพศ ให้เราพยายามเข้าใจวิธีคิดของเขามากกว่าที่จะคาดหวัง ให้เขามาคิดเหมือนเรา เพราะถ้าเราทำเช่นนั้น เราก็อาจจะเจอแต่การผิดคาดครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเราจะไปโทษใครดี และถ้าเราถามนริศว่าไม่รู้เรื่องที่อมราพยายาม "สื่อ" จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เขาก็คงจะบอกคุณด้วยความสัตย์จริงว่า "ไม่รู้จริงๆ" ซึ่งผู้เขียนก็คิดว่า เขาไม่ได้หลอกคุณหรอก เขาไม่รู้จริงๆ !
โดยนวลศิริ เปาโรหิตย์